เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ วันนี้วันพระ วันนี้วันพระเป็นวันแสวงหาบุญกุศลใส่หัวใจของชาวพุทธนะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาพระพุทธศาสนา เห็นไหม เวลาเราทุกข์เรายากขึ้นมาเราก็อยากจะหาที่พึ่งๆ นี่เราหาที่พึ่งไม่ได้
เราเกิดมาในทางโลกเราเกิดมาด้วยบุญกุศล เราเกิดเป็นมนุษย์มีกฎหมายคุ้มครอง มีรัฐบาลดูแล ถ้ามีกฏหมายคุ้มครอง มีรัฐบาลดูแลขนาดไหน เราก็ต้องมีการแข่งขัน ถ้าความแข่งขันอันนั้น การกระเสือกกระสนอันนั้นมันเป็นความทุกข์ความยาก นี่ความทุกข์ความยาก เห็นไหม
ธรรมะ ปัจจัยเครื่องอาศัยๆ เราต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัยนะ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อมันลากจูงให้เรามาวัดมาวา มาวัดมาวาขึ้นมา มาวัดมาวาเพื่อบุญกุศลของเรา ถ้าบุญกุศลของเราคือความปล่อยวางในหัวใจไง พอปล่อยวางในหัวใจแล้วเรายังมีหน้าที่การงานของเราวันยังค่ำ เพราะคนเราเกิดมามีปากมีท้อง ต้องมีอาชีพ ต้องมีหน้าที่การงานของเรา ถ้ามีหน้าที่การงานของเรา เราทำเพื่อเหตุนี้ไง
ถ้าคนมีบารมี บารมี จะมีโอกาส มีจังหวะโอกาสตลอดเวลา แต่เรามันคนขาดตกบกพร่อง คนขาดตกบกพร่องมาจากไหน คนขาดตกบกพร่องก็มาจากการกระทำของเราน่ะ เราไม่เคยทำสิ่งใดเลย เราก็จะไม่ได้สิ่งใดเลย ถ้าเราทำสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ทำสิ่งใดได้สิ่งนั้น เราก็มาวัดมาวาเพื่อทำบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศลของเราเพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ไง สอนไว้ ชาวพุทธเราให้มีทาน ศีล ภาวนา คำว่า “ทาน ศีล ภาวนา”
“ทำไมต้องทำ ทำไมต้องทำ มันอัตคัดขาดแคลนขนาดนี้ทำไมต้องทำ”
ความอัตคัดขาดแคลน อัตคัดขาดแคลนเพราะหัวใจของเรามันคับแคบ ถ้าอัตคัดขาดแคลนของเรา ไม่มีสิ่งใด เราก็อนุโมทนาไปกับเขา เรามีน้ำใจไปกับเขา เห็นคนทำคุณงามความดี เราชื่นชมไปกับเขา ถ้าเราชื่นชมไปกับเขา เราชื่นชมไปกับเขา แต่เราชื่นชมไม่ได้ เราชื่นชมไม่ได้เพราะอะไร เพราะเขามี เราไม่มี เขาทำ เราไม่ได้ทำ มันชื่นชมไม่ได้ นี่ไง คนเราจิตใจถ้ามันบกพร่องแล้วมันบกพร่องตั้งแต่ต้นจนปลาย มันบกพร่องไปตลอด
แต่จิตใจคนที่สูงส่ง เห็นไหม เป็นผู้ใหญ่เห็นเด็กทำความดี โอ้โฮ! มันชื่นชมนะ เห็นสังคมที่เขามีน้ำใจต่อกัน โอ้โฮ! เราปลื้มใจ นี่ไง ถ้าจิตใจมันดี มันดีตั้งแต่ต้น มันดีไปตลอดรอดฝั่ง ถ้าจิตใจที่มันคับแคบแล้วมันคับแคบไปตลอดรอดฝั่งเลย มันจะคับแคบไปทั้งนั้นน่ะ มันทำไม่ได้ๆ ไง แต่ถ้าคนทำได้ หัวใจที่มันสูงส่ง
หัวใจที่สูงส่งและหัวใจที่คับแคบมาจากไหน
พันธุกรรมของจิตๆ ไง
พ่อแม่สั่งสอนลูกของเรา ไปโรงเรียนแล้วให้มีน้ำใจต่อเพื่อน เรามีน้ำใจต่อเขา เราฝึกฝนมาตั้งแต่นั่นไง ถ้าเราฝึกฝนของเรามา ฝึกฝนของเรามา เด็กบางคนไม่ต้องฝึกฝน เด็กบางคนมันสอนพ่อแม่มันเลย ให้พ่อแม่ทำดี “พ่อแม่สอนหนู แล้วทำไมพ่อแม่ทำตัวอย่างนั้นๆ” พ่อแม่นี่อายเด็กเลย ถ้าเด็กมันดี นี่ไง พันธุกรรมของจิตๆ ที่มันตัดแต่งมา
พอตัดแต่งขึ้นมาแล้ว เวลาอัตคัดขาดแคลนขึ้นมา เราขัดสนของเรา เราเข้ามาที่เรา ถ้ามีสติปัญญานะ ถ้ามีสติ ถ้ามีสติมันเท่าทันความคิดของตนนะ ถ้าขาดสติ ทั้งพลั้งเผลอ รู้บ้างไม่รู้บ้าง คำว่า “รู้บ้างไม่รู้บ้าง” คือมันเพ้อมันละเมอ รู้บ้างไม่รู้บ้าง มันเผลอ เวลามันเผลอไป มันคิดไป มันเจ็บซ้ำน้ำใจทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าคนมีสติขึ้นมาไม่เผลอไผลนะ มันไม่เผลอไผล มันรู้ชัด ไม่ใช่รู้บ้างไม่รู้บ้าง
โดยธรรมชาติของคน ธรรมชาติของพลังงาน ไฟฟ้า พลังงาน เวลาลัดวงจรมันไหม้บ้านไหม้เรือนเลย แต่ถ้าไฟฟ้ามันปกติขึ้นมา ทุกคนได้ใช้สอยมัน นี่ก็เหมือนกัน พลังของจิตๆ คนเราเกิดมามีความคิด พลังงานมันมีอยู่แล้ว จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เพราะจิตนี้เกิด พอจิตนี้เกิด ทำให้มีสิ่งมีชีวิต ทำให้เป็นเรา พลังงานมันมีของมัน
แต่ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา ไฟฟ้าที่มันสมบูรณ์แบบ ในบ้านในเรือนเรามีความสว่างไสว มีความอบอุ่น มีทุกอย่างพร้อมเลย มันลัดวงจร ไหม้หมดทั้งบ้านเลย นี่ก็เหมือนกัน เวลามันคิดแต่เจ็บช้ำน้ำใจ มันลัดวงจร มันขาดสติ
ถ้ามีสติสัมปชัญญะขึ้นมา เราไม่ให้ไฟฟ้าลัดวงจร ไม่ให้ความคิดที่มันไม่พอใจมาเหยียบย่ำหัวใจของเรา ถ้ามันเหยียบย่ำหัวใจของเรา มันมาจากไหนล่ะ นี่ไง มาวัดมาวามาทำบุญกุศล มาทำบุญกุศลก็เพื่อฝึกหัดตรงนี้ไง ถ้าจิตใจของมันมีกำลังขึ้นมา จิตใจที่มันสูงส่งขึ้นมามันให้อภัยได้ทั้งนั้นน่ะ เราอยู่ด้วยกัน ลิ้นกับฟันยังกระทบกันเลย คนเรามันผิดพลาดด้วยความพลั้งเผลอ ผิดพลาดโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ให้อภัยเขาไปซะ แต่คนถ้ามันจงใจจะทำของเขา...กรรมของสัตว์
กรรมของสัตว์ เราก็ปกป้องเราตามสิทธิ์นะ ไม่ใช่ว่าพระพุทธศาสนาสอนให้งอมืองอเท้า พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้งอมืองอเท้านะ เพราะความเพียรชอบ พระพุทธศาสนาสอนให้มีความเพียร มีความวิริยะ มีความอุตสาหะ แต่อย่าผูกใจเจ็บ ถ้าไม่ผูกใจเจ็บแล้ว เรามีความเพียรของเรา เราทำหน้าที่การงานของเรา เขาจะกลั่นแกล้ง เขาจะทำร้ายเรา เราป้องกันตามสิทธิ์ของเรา แต่เราดูแลหัวใจของเราได้ไง เราดูแลหัวใจของเราได้เพราะอะไร
เพราะคนมีเวรมีกรรมต่อกันมา คนที่มีเวรมีกรรมต่อกันมามันผูกพันกันมา เวลามันผูกพันกันมา เขาจ้องจะเอาอย่างเดียวนั่นน่ะ เพราะมันมีเวรมีกรรมต่อกันมา พอมันหมดเวรหมดกรรมนะ ไอ้คนที่จ้องจะทำเรานะ “เฮ้อ! ทำมันแล้วมันก็ไม่สะเทือนเลย ทำแล้วมันก็ไม่มีความตอบโต้เลย เราไม่ทำมันแล้ว” หมดเวรหมดกรรม
ถ้าหมดเวรหมดกรรมมันก็เป็นเรื่องหนึ่งนะ ถ้าไม่หมดเวรหมดกรรม พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก เวรกรรมมันเป็นอย่างนั้นน่ะ เรื่องเวรเรื่องกรรมมันปิดหูปิดตา ปิดหูปิดตาคนที่ทำ แล้วเรา เราเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงหัวใจของเรา ถ้าสอนถึงหัวใจเรา เรามาวัดมาวากันน่ะ เรามาฝึกหัดภาวนา เริ่มต้นตั้งใจเต็มที่เลย อู้ฮู! ไปคราวนี้ต้องเป็นพระอรหันต์แน่นอน ไปวัดคราวนี้ต้องเป็นพระอรหันต์เลยแหละ ตั้งใจมาเต็มที่เลยนะ...ไฟไหม้ฟาง พอไปถึงวัดแล้วนะ ทำครึ่งๆ กลางๆ ทำไม่ต่อเนื่อง
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเพียร ความเพียรต้องต่อเนื่อง ความชำนาญในวสี ชำนาญในการคุ้มครองดูแล เวลาสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง แม้แต่การฝึกฝนการกระทำของเรา อารมณ์ความรู้สึกก็เป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นอนิจจัง แล้วจะดูแลอย่างไรให้มันคงที่ล่ะ
ถ้าดูแลให้คงที่ นี่ไง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุไง เรามีสติมีปัญญาของเรา เรารักษาของเราไง เราตั้งสติแล้วหายใจเข้านึก พุทหายใจออกนึกโธ เดี๋ยวมันก็เผลอ ทั้งเผอทั้งเรอ ทั้งเผอทั้งเรอเพราะอะไร เผอเรอเพราะมันจำเจไง พอจำเจขึ้นมา ครูบาอาจารย์ของเราท่านถึงต้องตื่นตัวตลอดเวลา พอตื่นตัวตลอดเวลา มาฝึกหัดให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
เวลาหลวงตาท่านพูด เราพูดประจำ เวลาภาวนา เห็นไหม เวลาภาวนาโง่ยิ่งกว่าหมาตาย เวลาเผลอไผลไปกับกิเลส ไฟฟ้าลัดวงจร เก่ง โอ้โฮ! คิดนี้สุดยอด ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา สัมโพชฌงค์ สติปัฏฐาน ๔ ทะลุปรุโปร่ง เดี๋ยวเข้าทางจงกรมเป็นพระอรหันต์แน่นอนเลย พอไปวัดไปวาเข้า สติมันอ่อนลงไปเรื่อยๆ
เห็นไหม รู้หมด ศึกษามาเข้าใจทั้งนั้น อริยสัจนี่อู้ฮู! ทะลุปรุโปร่งเลย แต่ทำจริงทำไม่ได้ เพราะอะไร เพราะความบกพร่องของเราไง
ความเพียรชอบ ความเพียร หลวงตาท่านสอนประจำ ถ้าความเพียรชอบต้องมีสติ ถ้ามีสติสัมปชัญญะเริ่มต้น นั่นน่ะความเพียรมันถึงชอบธรรม ถ้าขาดสติไปแล้วก็ลุ่มๆ ดอนๆ ทั้งนั้นน่ะ
แล้วเวลามันพลั้งเผลอไปแล้วนะ จบเลยนะ พอจบ มันล่องลอยไปเลย ว่าวเชือกขาดคือควบคุมไม่ได้ ว่าว สายป่านมันขาด ควบคุมสิ่งใดไม่ได้เลย ทีนี้ภาวนาไปแล้ว ส่งขึ้นไปแล้ว แล้วควบคุมอะไรไม่ได้เลย อย่างนั้นชอบธรรมหรือ
ความชอบธรรมมันต้องมีสติปัญญาสมบูรณ์สิ ทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าไม่มีสติปัญญาสมบูรณ์มันจะยกขึ้นสู่วิปัสสนาอย่างไร ดูสิ เวลาหมอเขาจะผ่าตัด มือเขานิ่งขนาดไหน
นี่ก็เหมือนกัน ยกจิตขึ้น จิตนี้ยิ่งกว่าเลเซอร์ แล้วมันจะผ่าตัด มันจะเข้าไป มันจะควบคุมอย่างไร ถ้ามันจะควบคุมอย่างไร นี่ไง ความเพียรชอบๆ ถ้าความเพียรมันชอบขึ้นมา ถ้าความเพียรชอบมันก็ชอบธรรมไง
แต่ความเพียรของเราไฟไหม้ฟาง ไปวัดไปวาคราวนี้เป็นพระอรหันต์แน่ๆ เลย ตั้งใจเต็มที่เลย พอไปถึงก็ล้มลุกคลุกคลาน
ความล้มลุกคลุกคลาน เห็นไหม การประพฤติปฏิบัติ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มีคุณค่ามาก สิ่งที่ผิดพลาดพลั้งเผลอนี้เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา เราเองต่างหาก เราเองต่างหากไม่สมบูรณ์แบบ เราเองต่างหากขาดตกบกพร่อง แล้วจะไปโทษธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ เวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราจะไปโทษคนนู้นโทษคนนี้ แต่เราไม่เคยโทษตัวเราเองเลย เราไม่เคยโทษอำนาจวาสนาของเราเลย
ถ้าอำนาจวาสนาของเราถ้ามันเข้มแข็งนะ จิตใจคนที่เข้มแข็ง คนที่จิตใจดีงาม เราเจอบ่อยมากคนที่จิตใจดีงามเขามาคุยกับเรานะ ทำไมคนนู้นคิดอย่างนี้ได้ คนนี้คิดอย่างนี้ได้ เขาแปลกใจ เขาแปลกใจเวลาคนคิดลบ เอ๊! ทำไมเขาคิดได้อย่างนั้นน่ะ ทำไมเขาคิดทำลายตัวเขาได้อย่างนั้น เขาถามเราอย่างนั้นนะ ทำไมเขาคิดได้อย่างนั้นน่ะ นี่เวลาคนที่จิตใจเขาเข้มแข็ง จิตใจเขาดีงามน่ะ เขาเห็นคนคิดลบเขาก็แปลกใจนะ
แต่ไอ้คนคิดลบมันก็คิดลบ คิดลบแล้วก็น้อยใจด้วยนะ “เราไม่มีคนเชิดชู เราไม่มีคนคุ้มครองดูแล”...พ่อแม่ก็นั่งอยู่นั่น กฎหมายของรัฐก็ดูแลอยู่ เจ้าหน้าที่ของรัฐเขาดูแลทั้งนั้นเลย ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ
ไอ้นี่มันน้อยเนื้อต่ำใจของมันไปโดยธรรมชาติของมัน นี่ไง ถ้าตรงนี้มันมาจากไหน มันมาจากโยมที่มาวัดนี่แหละ มันมาจากการกระทำของเรา มันมาจากการฝึกหัดของเรา พันธุกรรมของจิตๆ คนเราเกิดมาแต่ละภพแต่ละชาติ เราคิดดี เราพัฒนาของเรา ฝืนใจเราทำแต่สิ่งที่ดีงาม
“ย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตเป็นนิสัยของเธอ” ความย้ำคิดย้ำทำ แต่ต้องย้ำคิดย้ำทำสิ่งที่ดีงามนะ อย่าไปย้ำคิดย้ำทำสิ่งที่ลบ ถ้าย้ำคิดย้ำทำสิ่งที่ลบ จิตใจเราก็จะลบไปเรื่อยๆ ถ้าย้ำคิดย้ำทำสิ่งที่ดีงาม มันก็ยกจิตใจของเราให้ดีงามขึ้นไปเรื่อยๆ
ความดีงามมันดีงามอยู่ที่ไหน มันดีงามอยู่ในหัวใจของเรา แล้วถ้าความดีงามอยู่ในหัวใจของเรานะ เวลามันเคยคิดลบ แล้วพอมันคิดบวก คิดดีงาม โอ้โฮ! โอ้โฮ! มันเห็นไง คิดลบมันมีความทุกข์อย่างนี้ คิดลบมันมีความระแวงอย่างนี้ คิดลบมีความทุกข์อย่างนี้ คิดบวก เห็นไหม คิดบวก จิตใจมันมั่นคงอย่างนี้ มันมีความดีอย่างนี้ นี่ความคิดนะ
แต่เวลาเป็นการกระทำนะ เวลามีการกระทำ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตของเรามันแบกรับภาระ ความคิดนี่แหละ จิตของเรากับความคิดมันผูกพันกัน เห็นไหม เวลาเราไม่คิด ความคิดมันไปไหน จิตเราก็อยู่นั่นใช่ไหม เวลามันแบกรับภาระก็แบกรับภาระความคิดอันนี้ไง
เวลามันวาง มันวางความคิดอย่างนี้ไง มันวางความคิดอย่างนี้แล้วมันต้องเป็นอิสระ คำว่า “วางความคิดๆ” คนเราไม่คิด คนเรากดไว้ คนเราทับไว้ คนเรากดดันไว้ มันไม่ใช่สมาธิ มันเป็นความคิดว่าง คิดให้ว่างๆ เพราะคิดมันทรงตัวไม่ได้ มันว่างไม่เป็น
แต่เราฝึกหัดหายใจเข้านึกพุท หายใจนึกออกนึกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ คำว่า “ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ” คือใช้ความคิด เราคิดสิ่งใดแล้วเรามาใคร่ครวญของเราว่ามันดีงามหรือไม่ ถ้ามันไม่ดีงาม เราจะคิดทำไม มันก็วางความคิด พอวางความคิดขึ้นมา จิตมันจะเด่นขึ้นมา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จิตมันจะเด่นขึ้นมา พอจิตมันเด่นขึ้นมา มันวางความคิดแล้วจิตมันเป็นอิสระ
แต่มันว่าง มันไม่ใช่วางความคิด เราไปสร้างอารมณ์ใหม่ สร้างอารมณ์ว่างๆ ว่างๆ นั่นน่ะ มันถึงไม่ได้รับรู้รสของความสงบไง มันถึงไม่ได้รับรู้รสของสัมมาสมาธิ
รสของสัมมาสมาธิ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง ถ้ารสของสมาธิธรรม รสของสติ
คนเราถ้ามันคิดลบๆ ตลอดเวลา ถ้ามีสติขึ้นมา พอมีสติขึ้นมา พอมันคิดบวกขึ้นมา นั่นน่ะเห็นผลเลย อ๋อ! เพราะเรามีสติ เพราะเราเท่าทันความคิด นี่รสของสติ รสชาติของมัน โอ้โฮ! มันชัดเจน รสชาติของสัมมาสมาธิ แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา รสชาติของภาวนามยปัญญา เห็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิ เราจะมหัศจรรย์มาก เพราะมันเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการภาวนา
สิ่งที่เราทำกันอยู่นี่ปัญญาเกิดจากจินตนาการ มันโดยพื้นฐาน ถ้าทางโลกมีการศึกษา ปัญญานั้นเกิดจากโลกียปัญญา ปัญญาอย่างนั้นมันเป็นปัญญาแบบโลกๆ เป็นวิชาชีพ เป็นองค์ความรู้ไว้ประกอบสัมมาอาชีวะ แล้วถ้าไม่ประกอบสัมมาอาชีวะไว้ทำไม เพราะคนเรียนมา เรียนมาอย่างหนึ่งไปทำงานอีกอย่างหนึ่ง เรียนมาอย่างหนึ่งมีอาชีพอีกอย่างหนึ่ง นั่นไง แล้วความรู้ไม่ได้ใช้เลย นี่ไง ความรู้อย่างนั้นความรู้ที่วิชาชีพ มันเป็นความรู้วิชาชีพที่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
แต่ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่รักษาหัวใจ ปัญญาพาใจพ้นจากทุกข์ ปัญญาพาหัวใจของเราให้เห็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่จิตของเราๆ
หลวงตาท่านเน้นย้ำ หัวใจของเราเรียกร้องความช่วยเหลือ หัวใจของเราเรียกร้องความช่วยเหลือ แล้วใครจะไปช่วยเหลือมันล่ะ ก็ต้องหัวใจเราเองมีสัมมาสมาธิ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญารักษาช่วยเหลือมันเอง
เด็กเวลามันโดนเพื่อนรังแกมันยังวิ่งหาพี่เลี้ยง วิ่งหาพ่อหาแม่ช่วยคุ้มครองดูแลมัน แล้วหัวใจของเราใครจะดูแลมัน
ศีล สมาธิ ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้คุ้มครอง แล้วคุ้มครองจากไหน คุ้มครองจากการฝึกหัด ฝึกหัดมันขึ้นมาๆ ถ้าฝึกหัดขึ้นมามันจะเป็นความจริงขึ้นมาในหัวใจ นี่ไง ดวงใจดวงใดไม่มีมรรค ดวงใจดวงนั้นไม่มีผล
ที่เราศึกษา ศึกษามาเป็นความจำ สัญญาทั้งนั้นน่ะ สัญญาคือความจำ ความจำก็ไปกล้องถ่ายมาไง เอากล้องถ่ายมามันไม่รู้เรื่องหรอก
แต่ถ้าเราทำขึ้น เราเป็นคนพัฒนาขึ้นมาเอง เราไม่ใช่เอากล้องไปถ่ายของใครมา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือถ่ายมา ถ่ายจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ่ายมา แล้วมาฝึกหัด ฝึกหัดจนมันเป็นขึ้นมา พอมันเป็นขึ้นมา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ดวงใจมีมรรค ถ้ามีมรรคมันก็รู้หมด
ช่างยนต์เขาไม่เคยกลัวเครื่องยนต์เขาเสียหายเลย เพราะเขาเป็นช่างยนต์ เขาซ่อมแซมได้ หัวใจของเรานักปฏิบัติ ถ้ามันภาวนาเป็นแล้วไม่กลัวอะไรเลย โอ้โฮ! เพราะมันขาดสติ เพราะสมาธิมันอ่อน เพราะใช้ปัญญามากเกินไป รู้หมด ถ้าสติมันอ่อนก็กลับมาฝึกสิ สมาธิก็กลับมาที่สัมมาสมาธิจะออกไปใช้ปัญญา นี่ปัญญามันจะเกิดขึ้นนะ อะไหล่ที่มันจะประกอบเครื่องยนต์ มันจะเปลี่ยนอะไหล่ตัวใด มันจะใช้อย่างไร มันทำได้ทั้งนั้นน่ะถ้าชำนาญในวสี นี่ไง ถ้ามันมี มันเป็น ถ้ามันเป็น ฝึกหัดขึ้นมาๆ
ไม่ใช่ไปถ่ายมา ถ่ายมาแล้วมันเป็นสูตรตายตัว สูตรตายตัวนี่วิทยาศาสตร์ เราพูดทุกวัน วิทยาศาสตร์แก้กิเลสไม่ได้ เพราะเป็นสูตรสำเร็จ คำว่า “สูตรสำเร็จ” กิเลสมันปลิ้นปล้อน เราไม่ทันมันหรอก ปริยัติมันเป็นทฤษฎี เป็นสูตรสำเร็จ กิเลสมันพลิกแพลงได้มากกว่านั้น แม้แต่กฎหมาย นักโทษมันยังปลิ้นปล้อน มันยังเอาตัวรอดได้ นับประสาอะไร
ฉะนั้นว่า ถ้ามันเป็นความจริงๆ สัจธรรมมันไล่ต้อนกิเลสเข้าไป มันรู้เท่ารู้ทัน มันรู้แจ้งแทงตลอด มันทำลายหมดนะ นี่คือสัจจะคือความจริง นี่พูดถึงสัจจะความจริงที่เกิดขึ้น
ถ้าเรามีสติสมาธิสมบูรณ์ สมบูรณ์แล้วเราฝึกหัดของเราๆ นี่คือสมบัติแท้นะ บุญแท้ๆ เลย ถ้าเรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา เราแก้ไขชีวิตเราได้ทั้งนั้นน่ะ ชีวิตมันจะตกทุกข์ได้ยากอย่างไรมันเป็นคราว
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เวลาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่าข้าวยากหมากแพง พระอานนท์เอาข้าวเลี้ยงม้ามาบดให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสวย นี่กรรมของสัตว์
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน “อานนท์ เราหิวกระหายเหลือเกินตักน้ำมาให้หน่อย” น้ำนั้นมีแต่ขุ่นหมดเลย นี่ไง แล้วพระอานนท์ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นเพราะอะไร
เศษของกรรมๆ คือเราเคยทำสิ่งใดมา ทำสิ่งใดมาเป็นอย่างนั้นน่ะ
แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังลุ่มๆ ดอนๆ เป็นครั้งคราว แล้วเราจะให้มันสมบูรณ์แบบที่ไหน ถ้ามีสติปัญญาอย่างนี้แล้วยิ้มได้เลย อะไรจะมาเผชิญได้ทั้งนั้นน่ะ ชีวิตนี้เผชิญได้ทุกๆ เรื่อง ไม่ไปจำนนกับมัน ไม่ให้กิเลสมันบีบคั้น แล้วเราทุกข์กับกิเลสในหัวใจของเรานะ แต่ถ้าเราทำคุณงามความดี สัจธรรม ธรรมโอสถ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของหัวใจดวงนี้ เอวัง